เลือกแอร์ใช้งานในหน้าร้อนให้ประหยัดไฟ มีวิธีเลือกซื้ออย่างไร
เครื่องปรับอากาศ หรือ แอร์ ถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยบ้านเราเป็นเมืองร้อนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวตลอดทั้งปี และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนอุณหภูมิจะสูงเกิน 40 องศาฯ เลยทีเดียว ดังนั้น เครื่องปรับอากาศ จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นที่ทุกบ้านและทุกบริษัทห้างร้านต้องมี
ไม่ใช่แค่บ้านเดี่ยวแต่เพียงอย่างเดียว แต่บ้านเช่า หอพัก ที่ต้องการความสบายก็ได้มีการติดตั้งแอร์มากขึ้นเรื่อยๆ หลายบ้านมีมากกว่าหนึ่งเครื่องด้วยซ้ำ และสำหรับวันนี้พี่เข้จะมาแนะนำ แอร์ ประหยัดไฟดูยังไง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับห้องแบบไหนบ้าง ? ตามมากันเลยครับ
แน่นอนว่าการเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด รวมถึง เครื่องปรับอากาศ เพื่อให้ประหยัดไฟต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตรงจุดนี้เราทราบกันดีอยู่แล้ว แต่มีเรื่องอื่นที่ควรรู้อีกไหมนะ
สินค้าแนะนำ
ภาพ: จระเข้ พียู โฟม (ชิดเต็มช่องว่าง ขยายตัวได้ 5 เท่า เนื้อแน่น ไม่หดตัว ใช้งานง่าย )
สั่งซื้อ: จระเข้ พียู โฟมได้เลยตอนนี้ คลิก
ตามท้องตลาดมีแอร์อยู่ 2 ประเภท ดังนี้
1. Econo Air
Econo Air เป็นแอร์ระบบธรรมดา ลักษณะการทำงานจะเป็นแบบ Fixed Speed คือให้อุณหภูมิคงที่ ตั้งไว้ที่ตัวเลขอุณหภูมิเท่าไหร่จะอยู่เท่านั้นคงที่ ยกตัวอย่างตั้งไว้ 25 องศา เมื่ออุณหภมิห้องอยู่ที่ 25 องศา (ในความเป็นจริงจะตัดที่ 23-24 องศา) คอมเพรสเซอร์ก็จะตัดการทำงานของ คอมเพรสเซอร์ ระบบนี้จะให้ความรู้สึกว่าเย็นฉ่ำตลอดเวลาเพราะว่า แอร์ จะตัดการทำงานต่ำกว่าค่าอุณหภูมิที่ผู้ใช้ตั้งไว้ 1-2 องศานั่นเอง
และเมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น คอมเพรสเซอร์ ก็จะทำงานใหม่อีกครั้ง จะเป็นการทำงาน 100% นอกจากนี้ Econo Air ช่องประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสังเกตว่ามีตัวอักษร EER (Energy Efficiency Ratio) ที่ช่องประสิทธิภาพ จะมีตัวเลขเขียนไว้ ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งประหยัดไฟมากนั่นเอง
2. Inverter
Inverter Air หรือ แอร์ที่ปรับอุณหภูมิได้ด้วยตัวเองตามสภาพแวดล้อมกำลังเป็นที่นิยมในเวลานี้ แอร์ระบบนี้จะมีตัวตรวจจับอุณหภูมิอยู่หลายตัวทำให้รักษาค่าอุณหภูมิห้องได้อย่างแม่นยำมาก การตัดการทำงานของตัวคอมเพรสเซอร์ จะตัดอยู่ที่ 0.5 องศาบวกลบอุณหภูมิที่ตั้ง ซึ่งต่ำกว่าแอร์ระบบธรรมดา (Econo Air) ดังนั้นความเย็นในห้องจะเสถียรกว่า การทำงานของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ คอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงานที่ 120%
เพื่อปรับอุณหภูมิห้องให้ลดลงตามผู้ใช้กำหนด หลังจากนั้นคอมเพรสเซอร์ก็จะไม่หยุดการทำงานเพียงแต่จะลดรอบการทำงานลง ผลที่เกิดขึ้นก็คือจะไม่กินไฟเหมือนระบบแอร์ระบบธรรมดา ที่คอมเพรสเซอร์จะหยุดการทำงานเมื่ออุณหภูมิได้ที่และเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิห้องเริ่มสูงขึ้นนั่นเอง แอร์อินเวอร์เตอร์ จะใช้ค่าที่เรียกว่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เป็นค่าวัดประสิทธิภาพ ซึ่งประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับฤดูกาลโดยจะเขียนติดไว้ที่ฉลากเบอร์ 5 อย่างชัดเจน ยิ่งตัวเลขมากยิ่งประหยัดไฟมากเช่นกัน
ห้องที่เหมาะสมสำหรับแอร์แต่ละชนิด
สำหรับแอร์ Inverter เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ เช่น ห้องนอน เป็นต้น ส่วนแอร์ Econo เหมาะกับติดตั้งในสำนักงาน ห้องรับแขก โชว์รูมแสดงสินค้า หรือห้องที่มีความผันแปรของอุณหภูมิมากกว่าคือพูดง่ายๆ ห้องที่มักเปิดเข้าเปิดออกตลอดเวลานั่นเอง
นอกจากเลือกแอร์ให้ถูกต้องกับห้องส่วนต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยประหยัดไฟ รวมถึงยืดอายุการใช้งานให้กับแอร์นั้น เจ้าของบ้านก็ควรใส่ใจด้วยเช่นกัน เช่น ติดผ้าม่านกรองแสงเพื่อไม่ให้แสงผ่านเข้ามาในห้องช่วยให้แอร์ไม่ทำงานหนักจนเกินไป หรือสำรวจดูประตู หน้าต่าง ว่าปิดสนิทหรือมีรอยแตกร้าวที่มุมวงกบจนสามารถมองเห็นภายนอกได้หรือไม่ก็จัดการซ่อมแซมรอยแตกให้เรียบร้อย หรือไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำความร้อนในห้องแอร์ เช่น กาต้มน้ำ ไมโครเวฟ เป็นต้น
สินค้าแนะนำ
ภาพ: จระเข้ รูฟ ชิลด์ (วัสดุทากันซึม ชนิดอะคริลิคสำเร็จรูป ใช้กันซึมดาดฟ้า หลังคา ทนฝน ทน UV)
สั่งซื้อ: จระเข้ รูฟ ชิลด์ ได้เลยตอนนี้ คลิก
และอีกสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้ท่านเจ้าของบ้านประหยัดไฟได้ไม่แพ้กันก็คือใช้ อะคริลิกทากันซึม และสะท้อนความร้อน จระเข้ รูฟ ชิลด์ ทาที่หลังคาหรือดาดฟ้าที่ไม่มีสภาพเป็นแอ่งน้ำขัง นอกจากจะช่วยป้องกันการรั่วซึมได้ผลดีเยี่ยม ยังสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ 55-80% ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้ 2-6 องศา อีกด้วย และทั้งหมดนี้ก็คือบทความสาระความรู้ดีๆ ที่พี่เข้นำมาฝากทุกท่านในวันนี้ กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้าสวัสดีครับ สั่งซื้อ: จระเข้ รูฟ ชิลด์ ได้เลยตอนนี้ คลิก